โอกาส “ทอง”หนังไทยใน AEC ที่มาข้อมูลจาก : http://www.thaiwinds.com
หลัง การลงนาม “ปฏิญญาเซบู” ว่าด้วยการเร่งรัดการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ให้เร็วขึ้นอีก 5 ปี จากเดิมที่วางไว้ในปี 2563 ให้เป็นปี 2558 เมื่อครั้งประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 12 ณ เมืองเซบู ประเทศฟิลิปปินส์
ดูเหมือนว่าทุกประเทศในภูมิภาคอาเซียนจะเริ่มตื่น ตัวตระเตรียมความพร้อม เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอีก 3 ปีข้างหน้ากันอย่างคึกคัก และหนึ่งในนั้นก็คือเมืองไทย ทำให้ในระยะหลังมานี้สื่อหลายแขนง ต่างพากันนำเสนอข่าวคราวความเคลื่อนไหวในมุมเศรษฐกิจ การลงทุน การส่งออก-นำเข้าสินค้า การเคลื่อนย้ายแรงงาน และการลดหรือยกเลิกภาษีระหว่างประเทศในอาเซียนกันยกใหญ่
แต่ในจำนวน ข่าวสารส่วนใหญ่หรือแทบทั้งหมด กลับให้ความสำคัญกับโอกาสในการทำตลาดและการกระจายตัวของกลุ่มทุนในกลุ่ม สินค้าเชิงวัฒนธรรม หรืออุตสาหกรรมบันเทิง เช่น ภาพยนตร์ ละคร หรือดนตรี ที่นับว่าเป็นจุดแข็งที่สุดจุดหนึ่งของไทยในอาเซียนน้อยมาก
จนถึง ขนาดที่ นายอภินันท์ โปษยานนท์ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ออกปากในงานประกาศรางวัลสุพรรณหงส์ทองคำครั้งที่ 21 ว่า “คนไทยส่วนใหญ่ตื่นตัวกับการเกิดเออีซีในอีก 3 ปีข้างหน้ากันอย่างมาก มีการพูดถึงการลงทุนและการส่งออกกันอย่างกว้างขวาง แต่น่าแปลกที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงตลาดภาพยนตร์สักเท่าไหร่นัก ทั้ง ๆ ที่เป็นตลาดที่แข็งแรงอีกหนึ่งตลาดของไทย”
ประกอบกับในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมบันเทิงในอาเซียน โดยเฉพาะในส่วนของภาพยนตร์ มีผู้กำกับและผู้คนที่คลุกคลีอยู่ในวงการภาพยนตร์หลายประเทศในภูมิภาคนี้ เริ่มขยับตัวเพื่อฟื้นฟูวงการภาพยนตร์ภายในประเทศกันยกใหญ่ หลังจากสภาพการเมืองและเศรษฐกิจภายในของประเทศของพวกเขาเริ่มผ่อนคลายลง จนสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า “นี่คือ ช่วงเวลาที่คึกคักที่สุดของวงการภาพยนตร์อาเซียนนับตั้งแต่ที่เคยมีมา”
หากไม่นับหนังไทยที่มีดีกรีเหนือกว่าประเทศอื่นในอาเซียนอยู่หนึ่งขั้นแล้ว หนังอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม
นับว่าน่าจับตามองมากที่สุดทั้งในแง่ของศิลปะการนำเสนอที่มีมุมมองแปลกใหม่ และคู่แข่งทางการตลาด
นอก จากทั้ง 3 ประเทศในอาเซียนข้างต้นแล้ว ประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว เมียนมาร์ กัมพูชา ก็เริ่มพัฒนาขึ้นมาจนได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากทั่วโลกเช่นกัน
ดา วี่ ชู ผู้กำกับรุ่นใหม่ชาวกัมพูชา เจ้าของผลงานสารคดีโกลเด้น สลัมเบอร์ ที่ว่าด้วยเรื่องราวของวงการหนังในกัมพูชา และได้รับเลือกให้เข้าฉายในเทศกาลหนังเบอร์ลินปีที่ผ่านมา กล่าวว่า “ภาพยนตร์จากชาวกัมพูชาได้รับเสียงตอบรับที่ดีมาตลอดจากเทศกาลหนังต่าง ๆ ทั้งในเอเชียและยุโรป ซึ่งสิ่งเหล่านี้นับว่าเป็นกำลังใจให้กับคนทำหนังในประเทศอย่างมหาศาล”
ขณะ ที่ มิน ทีม โกโกกี ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวเมียนมาร์มองว่า “วงการหนังเมียนมาร์ยังล้าหลังประเทศในภูมิภาคเดียวกันเยอะ จากนโยบายของรัฐบาลที่มีข้อจำกัดสูง แต่ผลงานที่ส่งเข้ามาในเทศกาลภาพยนตร์อาร์ต ออฟ ฟรีดอม (เทศกาลหนังที่จัดขึ้นโดยมีออง ซาน ซู จี เป็นผู้สนับสนุน) ที่ผ่านมา ได้สะท้อนให้เห็นว่ามีนักทำหนังอิสระใหม่ ๆ เกิดขึ้นมามากมาย และตรงนี้เองที่นับว่าเป็นแนวโน้มที่ดีสำหรับวงการหนังในประเทศ (เมียนมาร์)”
แม้ว่าสถานการณ์ภาพรวมของอุตสาหกรรมหนังอาเซียนจะดี ขึ้นแบบก้าวกระโดด แต่ในปัจจุบันยังนับว่าห่างไกลจากหนังฮอลลีวูด หรือหนังจากทางฝั่งอียูอยู่มากมายหลายช่วงตัว และสาเหตุหลักของความแตกต่างระหว่างหนังอาเซียนกับหนังโลกตะวันตกที่คนทำ หนังส่วนใหญ่พูดตรงกัน นั่นก็คือ การขาดแคลนเงินทุน และไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ
ดังนั้นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจึง เปรียบเสมือนปลายแสงแห่งโอกาสสำหรับคนทำหนังรายย่อยที่ไม่มีกลุ่มทุนรองรับ ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากในภูมิภาคนี้ ได้เข้าถึงแหล่งทุนใหม่ ๆ ที่กระจายตัวอยู่
ทั่วอาเซียน และพร้อมจะให้การสนับสนุนคนทำหนังตัวเล็ก ๆ ที่มีมุมมองแปลกใหม่ จากการเปิดเสรีทางด้านการลงทุนและการเงิน
หมู-สุภาพ หริมเทพาธิป บรรณาธิการบริหารนิตยสารหนัง Bioscope พูดถึงเรื่องนี้ว่า การใช้ทุนสร้างจากต่างประเทศความจริงมีมากนานแล้ว เพียงแต่ผู้กำกับรายย่อย ๆ ยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้อย่างทั่วถึง ดังนั้นถ้ามีการเปิดเสรีทางการเงินและการลงทุนแล้ว ก็น่าจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมหนังในเมืองไทยและอาเซียนอย่าง มากมาย
โดยเฉพาะรูปแบบการนำเสนอเนื้อหาและมุมมองของหนังที่น่าจะมี ความหลากหลายขึ้น ไม่ซ้ำซากจำเจและถูกครอบงำโดยหนังกระแสหลักเพียงแค่ไม่กี่ประเภท จากการเข้ามาของคนทำหนังนอกกระแส เพียงแต่หนังกลุ่มนี้อาจจะไม่ใช่หนังอาร์ตจ๋าที่ต้องตีความหลายตลบ หรือปวดหัวหลังออกจากโรง เพราะสุดท้ายแล้วกลุ่มทุนก็ยังอยากได้ผลตอบแทนกลับมาในรูปของเงิน ไม่ใช่รางวัลอยู่ดี
ด้วยเหตุนี้เองหนังอาเซียนในอนาคต นอกจากจะต้องมีรูปแบบการนำเสนอที่แตกต่างแล้ว ยังต้องมีความเป็นแมสสูง สามารถเข้าไปตีตลาดพม่า อินโดนีเซีย เวียดนาม หรือลาวได้โดยไม่ถูกจำกัดในเรื่องความแตกต่างทางวัฒนธรรม
“ข้อด้อย ของคนทำหนังในเมืองไทยส่วนใหญ่คือความอ่อนเชิงในเรื่องของวิธีคิดและทัศนคติ ที่มีต่อประเทศเพื่อนบ้าน เพราะเรายังคงมองประวัติศาสตร์แบบเก่า ทั้ง ที่ในความเป็นจริงเรื่องราวที่เคยเรียนมาและวิธีคิดเหล่านั้นมันเอามาใช้ไม่ ได้แล้วในปัจจุบัน ดังนั้นถ้าไม่อยากให้หนังที่ทำมาต้องเผชิญกับกำแพงหรือปัญหาในเชิงวัฒนธรรม คนทำหนังก็ต้องมีความระไวระวังและศึกษาในเรื่องนั้น ๆ ให้ดี” บก.ไบโอสโคปคนเดิมแนะนำ
ดังนั้นกลุ่มที่จะต้องปรับตัวเองเพื่อให้สอด รับกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในธุรกิจหนัง จึงควรเป็นคนทำหนังไม่ใช่กลุ่มทุน โดยการเรียนรู้เรื่องความละเอียดอ่อนทางด้านวัฒนธรรมของแต่ละชนชาติให้ลึก ซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อสร้างโอกาสในการตีตลาดเพื่อนบ้าน และป้องกันไม่ให้เกิดกรณีอย่างหนังเรื่องหมากเตะฯขึ้นมาอีกเป็นครั้งที่สอง
แต่ อย่างไรก็ตาม หนังสัญชาติไทยก็ยังดูมีภาษีกว่าประเทศอื่นในอาเซียนอยู่มาก เพราะหากเปรียบเทียบในเชิงตลาดและความต้องการของผู้บริโภคแล้ว ประเทศในโซนนี้ดูจะมีความต้องการเสพหนังไทยที่สูงมากพอ ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย หรือลาว ที่กรี๊ดให้กับ “Suckseed ห่วยขั้นเทพ”, “กวน มึน โฮ” หรือ “สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก”
ตรง กันข้ามกับคนไทยที่ไม่ค่อยเปิดรับหนังจากประเทศเพื่อนบ้านสักเท่าไหร่นัก เพียงแค่ได้ยินว่าเป็นหนังจากอินโดนีเซียหรือเวียดนาม บางคนก็ถึงกับร้องยี้ก่อนดู ทั้ง ๆ ที่หนังเหล่านั้นนับได้ว่าเป็นหนังที่มีคุณภาพไม่แพ้หนังไทย ยกตัวอย่างหนังอย่าง “Lost in Paradise” หรือ “The Raid” เป็นต้น
สาเหตุ ส่วนหนึ่งก็น่าจะมาจากความไม่คุ้นเคยของคนดู ที่ชินกับหนังจากฟากฮอลลีวูด ญี่ปุ่น เกาหลีมากกว่า ทำให้หนังไทยได้เปรียบประเทศร่วมอาเซียนในเรื่องของการส่งออกหนังเข้าไปตี ตลาดเพื่อนบ้าน เพียงแต่ปัญหาเดียวที่เป็นเหมือนกับกำแพงของหนังไทยในการรุกตลาดเพื่อนบ้าน คือ หนังฮอลลีวูด ที่ยึดครองพื้นที่ฉายในโรงหนังทั่วโลกเกือบจะ 90 เปอร์เซ็นต์เอาไว้อย่างเหนียวแน่น
กรณีนี้ หมู ไบโอสโคป กล่าวว่า หากต้องการให้หนังไทยไปได้ไกลมากกว่าที่เป็นอยู่ หรือเข้าไปตีตลาดแข่งกับหนังฮอลลีวูดในประเทศแถบอาเซียน คงต้องหวังให้ภาครัฐเข้ามาช่วยดูแล ด้วยการเริ่มต้นจากการให้ความรู้เกี่ยวกับหนังระดับพื้นฐานแก่ผู้คน ที่เป็นส่วนสำคัญในการสร้างฐานคนดูกลุ่มใหม่ขึ้นมา เพื่อรองรับตลาดหนังที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปสู่ความหลากหลายที่มากขึ้นใน อนาคต..
ดูเหมือนว่าทุกประเทศในภูมิภาคอาเซียนจะเริ่มตื่น ตัวตระเตรียมความพร้อม เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอีก 3 ปีข้างหน้ากันอย่างคึกคัก และหนึ่งในนั้นก็คือเมืองไทย ทำให้ในระยะหลังมานี้สื่อหลายแขนง ต่างพากันนำเสนอข่าวคราวความเคลื่อนไหวในมุมเศรษฐกิจ การลงทุน การส่งออก-นำเข้าสินค้า การเคลื่อนย้ายแรงงาน และการลดหรือยกเลิกภาษีระหว่างประเทศในอาเซียนกันยกใหญ่
แต่ในจำนวน ข่าวสารส่วนใหญ่หรือแทบทั้งหมด กลับให้ความสำคัญกับโอกาสในการทำตลาดและการกระจายตัวของกลุ่มทุนในกลุ่ม สินค้าเชิงวัฒนธรรม หรืออุตสาหกรรมบันเทิง เช่น ภาพยนตร์ ละคร หรือดนตรี ที่นับว่าเป็นจุดแข็งที่สุดจุดหนึ่งของไทยในอาเซียนน้อยมาก
จนถึง ขนาดที่ นายอภินันท์ โปษยานนท์ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ออกปากในงานประกาศรางวัลสุพรรณหงส์ทองคำครั้งที่ 21 ว่า “คนไทยส่วนใหญ่ตื่นตัวกับการเกิดเออีซีในอีก 3 ปีข้างหน้ากันอย่างมาก มีการพูดถึงการลงทุนและการส่งออกกันอย่างกว้างขวาง แต่น่าแปลกที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงตลาดภาพยนตร์สักเท่าไหร่นัก ทั้ง ๆ ที่เป็นตลาดที่แข็งแรงอีกหนึ่งตลาดของไทย”
ประกอบกับในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมบันเทิงในอาเซียน โดยเฉพาะในส่วนของภาพยนตร์ มีผู้กำกับและผู้คนที่คลุกคลีอยู่ในวงการภาพยนตร์หลายประเทศในภูมิภาคนี้ เริ่มขยับตัวเพื่อฟื้นฟูวงการภาพยนตร์ภายในประเทศกันยกใหญ่ หลังจากสภาพการเมืองและเศรษฐกิจภายในของประเทศของพวกเขาเริ่มผ่อนคลายลง จนสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า “นี่คือ ช่วงเวลาที่คึกคักที่สุดของวงการภาพยนตร์อาเซียนนับตั้งแต่ที่เคยมีมา”
หากไม่นับหนังไทยที่มีดีกรีเหนือกว่าประเทศอื่นในอาเซียนอยู่หนึ่งขั้นแล้ว หนังอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม
นับว่าน่าจับตามองมากที่สุดทั้งในแง่ของศิลปะการนำเสนอที่มีมุมมองแปลกใหม่ และคู่แข่งทางการตลาด
นอก จากทั้ง 3 ประเทศในอาเซียนข้างต้นแล้ว ประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว เมียนมาร์ กัมพูชา ก็เริ่มพัฒนาขึ้นมาจนได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากทั่วโลกเช่นกัน
ดา วี่ ชู ผู้กำกับรุ่นใหม่ชาวกัมพูชา เจ้าของผลงานสารคดีโกลเด้น สลัมเบอร์ ที่ว่าด้วยเรื่องราวของวงการหนังในกัมพูชา และได้รับเลือกให้เข้าฉายในเทศกาลหนังเบอร์ลินปีที่ผ่านมา กล่าวว่า “ภาพยนตร์จากชาวกัมพูชาได้รับเสียงตอบรับที่ดีมาตลอดจากเทศกาลหนังต่าง ๆ ทั้งในเอเชียและยุโรป ซึ่งสิ่งเหล่านี้นับว่าเป็นกำลังใจให้กับคนทำหนังในประเทศอย่างมหาศาล”
ขณะ ที่ มิน ทีม โกโกกี ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวเมียนมาร์มองว่า “วงการหนังเมียนมาร์ยังล้าหลังประเทศในภูมิภาคเดียวกันเยอะ จากนโยบายของรัฐบาลที่มีข้อจำกัดสูง แต่ผลงานที่ส่งเข้ามาในเทศกาลภาพยนตร์อาร์ต ออฟ ฟรีดอม (เทศกาลหนังที่จัดขึ้นโดยมีออง ซาน ซู จี เป็นผู้สนับสนุน) ที่ผ่านมา ได้สะท้อนให้เห็นว่ามีนักทำหนังอิสระใหม่ ๆ เกิดขึ้นมามากมาย และตรงนี้เองที่นับว่าเป็นแนวโน้มที่ดีสำหรับวงการหนังในประเทศ (เมียนมาร์)”
แม้ว่าสถานการณ์ภาพรวมของอุตสาหกรรมหนังอาเซียนจะดี ขึ้นแบบก้าวกระโดด แต่ในปัจจุบันยังนับว่าห่างไกลจากหนังฮอลลีวูด หรือหนังจากทางฝั่งอียูอยู่มากมายหลายช่วงตัว และสาเหตุหลักของความแตกต่างระหว่างหนังอาเซียนกับหนังโลกตะวันตกที่คนทำ หนังส่วนใหญ่พูดตรงกัน นั่นก็คือ การขาดแคลนเงินทุน และไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ
ดังนั้นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจึง เปรียบเสมือนปลายแสงแห่งโอกาสสำหรับคนทำหนังรายย่อยที่ไม่มีกลุ่มทุนรองรับ ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากในภูมิภาคนี้ ได้เข้าถึงแหล่งทุนใหม่ ๆ ที่กระจายตัวอยู่
ทั่วอาเซียน และพร้อมจะให้การสนับสนุนคนทำหนังตัวเล็ก ๆ ที่มีมุมมองแปลกใหม่ จากการเปิดเสรีทางด้านการลงทุนและการเงิน
หมู-สุภาพ หริมเทพาธิป บรรณาธิการบริหารนิตยสารหนัง Bioscope พูดถึงเรื่องนี้ว่า การใช้ทุนสร้างจากต่างประเทศความจริงมีมากนานแล้ว เพียงแต่ผู้กำกับรายย่อย ๆ ยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้อย่างทั่วถึง ดังนั้นถ้ามีการเปิดเสรีทางการเงินและการลงทุนแล้ว ก็น่าจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมหนังในเมืองไทยและอาเซียนอย่าง มากมาย
โดยเฉพาะรูปแบบการนำเสนอเนื้อหาและมุมมองของหนังที่น่าจะมี ความหลากหลายขึ้น ไม่ซ้ำซากจำเจและถูกครอบงำโดยหนังกระแสหลักเพียงแค่ไม่กี่ประเภท จากการเข้ามาของคนทำหนังนอกกระแส เพียงแต่หนังกลุ่มนี้อาจจะไม่ใช่หนังอาร์ตจ๋าที่ต้องตีความหลายตลบ หรือปวดหัวหลังออกจากโรง เพราะสุดท้ายแล้วกลุ่มทุนก็ยังอยากได้ผลตอบแทนกลับมาในรูปของเงิน ไม่ใช่รางวัลอยู่ดี
ด้วยเหตุนี้เองหนังอาเซียนในอนาคต นอกจากจะต้องมีรูปแบบการนำเสนอที่แตกต่างแล้ว ยังต้องมีความเป็นแมสสูง สามารถเข้าไปตีตลาดพม่า อินโดนีเซีย เวียดนาม หรือลาวได้โดยไม่ถูกจำกัดในเรื่องความแตกต่างทางวัฒนธรรม
“ข้อด้อย ของคนทำหนังในเมืองไทยส่วนใหญ่คือความอ่อนเชิงในเรื่องของวิธีคิดและทัศนคติ ที่มีต่อประเทศเพื่อนบ้าน เพราะเรายังคงมองประวัติศาสตร์แบบเก่า ทั้ง ที่ในความเป็นจริงเรื่องราวที่เคยเรียนมาและวิธีคิดเหล่านั้นมันเอามาใช้ไม่ ได้แล้วในปัจจุบัน ดังนั้นถ้าไม่อยากให้หนังที่ทำมาต้องเผชิญกับกำแพงหรือปัญหาในเชิงวัฒนธรรม คนทำหนังก็ต้องมีความระไวระวังและศึกษาในเรื่องนั้น ๆ ให้ดี” บก.ไบโอสโคปคนเดิมแนะนำ
ดังนั้นกลุ่มที่จะต้องปรับตัวเองเพื่อให้สอด รับกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในธุรกิจหนัง จึงควรเป็นคนทำหนังไม่ใช่กลุ่มทุน โดยการเรียนรู้เรื่องความละเอียดอ่อนทางด้านวัฒนธรรมของแต่ละชนชาติให้ลึก ซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อสร้างโอกาสในการตีตลาดเพื่อนบ้าน และป้องกันไม่ให้เกิดกรณีอย่างหนังเรื่องหมากเตะฯขึ้นมาอีกเป็นครั้งที่สอง
แต่ อย่างไรก็ตาม หนังสัญชาติไทยก็ยังดูมีภาษีกว่าประเทศอื่นในอาเซียนอยู่มาก เพราะหากเปรียบเทียบในเชิงตลาดและความต้องการของผู้บริโภคแล้ว ประเทศในโซนนี้ดูจะมีความต้องการเสพหนังไทยที่สูงมากพอ ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย หรือลาว ที่กรี๊ดให้กับ “Suckseed ห่วยขั้นเทพ”, “กวน มึน โฮ” หรือ “สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก”
ตรง กันข้ามกับคนไทยที่ไม่ค่อยเปิดรับหนังจากประเทศเพื่อนบ้านสักเท่าไหร่นัก เพียงแค่ได้ยินว่าเป็นหนังจากอินโดนีเซียหรือเวียดนาม บางคนก็ถึงกับร้องยี้ก่อนดู ทั้ง ๆ ที่หนังเหล่านั้นนับได้ว่าเป็นหนังที่มีคุณภาพไม่แพ้หนังไทย ยกตัวอย่างหนังอย่าง “Lost in Paradise” หรือ “The Raid” เป็นต้น
สาเหตุ ส่วนหนึ่งก็น่าจะมาจากความไม่คุ้นเคยของคนดู ที่ชินกับหนังจากฟากฮอลลีวูด ญี่ปุ่น เกาหลีมากกว่า ทำให้หนังไทยได้เปรียบประเทศร่วมอาเซียนในเรื่องของการส่งออกหนังเข้าไปตี ตลาดเพื่อนบ้าน เพียงแต่ปัญหาเดียวที่เป็นเหมือนกับกำแพงของหนังไทยในการรุกตลาดเพื่อนบ้าน คือ หนังฮอลลีวูด ที่ยึดครองพื้นที่ฉายในโรงหนังทั่วโลกเกือบจะ 90 เปอร์เซ็นต์เอาไว้อย่างเหนียวแน่น
กรณีนี้ หมู ไบโอสโคป กล่าวว่า หากต้องการให้หนังไทยไปได้ไกลมากกว่าที่เป็นอยู่ หรือเข้าไปตีตลาดแข่งกับหนังฮอลลีวูดในประเทศแถบอาเซียน คงต้องหวังให้ภาครัฐเข้ามาช่วยดูแล ด้วยการเริ่มต้นจากการให้ความรู้เกี่ยวกับหนังระดับพื้นฐานแก่ผู้คน ที่เป็นส่วนสำคัญในการสร้างฐานคนดูกลุ่มใหม่ขึ้นมา เพื่อรองรับตลาดหนังที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปสู่ความหลากหลายที่มากขึ้นใน อนาคต..